FAQ คำถามที่พบบ่อย
A: รับสมัครผ่านระบบ TCAS (Thai University Central Admission System)
A: รับประมาณ 100-120 คนในแต่ละปี
A: 1. จบการศึกษาม.6 แผนการเรียนวิทย์-คณิต
2. มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์
3. เป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม
2. มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์
3. เป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม
A: ไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่สมัคร
A: คะแนน TPAT, และ 9 วิชาสามัญ (บางครั้งอาจมีเกณฑ์อื่นตามที่กำหนดในปีนั้น)
A: มีการสอบสัมภาษณ์เพื่อประเมินทัศนคติ บุคลิกภาพ และความเหมาะสมในการเป็นแพทย์
A: เอกสารสำคัญ เช่น ใบแสดงผลการเรียน (Transcript), บัตรประชาชน, และเอกสารที่เกี่ยวข้องตามประกาศ
A: หลักสูตรเน้นการผลิตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมทั้งสร้างจิตสำนึกการรับใช้ชาติและชุมชนในแบบแพทย์ทหาร
A: ปรับปรุงทุก ๆ 5-7 ปีตามมาตรฐานการศึกษาแพทย์ และความต้องการของระบบสาธารณสุข
A: มีการเปิดโอกาสให้นักศึกษาเลือกเรียนวิชาเลือกที่สอดคล้องกับความสนใจในปีท้าย ๆ ของการศึกษา
A: หลักสูตรใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนบางส่วน โดยเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับงานวิจัยและเอกสารวิชาการ
A: ใช้การเรียนการสอนแบบ Problem-Based Learning (PBL) และการฝึกปฏิบัติจริงในโรงพยาบาล
A: สามารถสมัครเรียนต่อเฉพาะทางในสาขาที่สนใจหลังสำเร็จการศึกษาและผ่านการปฏิบัติงานตามที่กำหนด
A: มีโครงการแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยหรือองค์กรทางการแพทย์ต่างประเทศในระดับนักศึกษาและงานวิจัย
A: ได้ฝึกปฏิบัติที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลเครือข่ายในสังกัดกองทัพบก
A: มีการฝึกในห้องปฏิบัติการจำลองสถานการณ์ (Simulation Lab) เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนลงภาคสนาม
A: ต้องปฏิบัติราชการในกองทัพเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี หลังจบการศึกษา
A: มีการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในชุมชนห่างไกลเพื่อเรียนรู้การดูแลสุขภาพประชาชนในบริบทต่าง ๆ
A: สามารถฝึกงานในโรงพยาบาลเครือข่ายที่กำหนดไว้ตามหลักสูตร เช่น โรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัยหรือกองทัพ
A: ประมาณ 30,000 - 40,000 บาทต่อเทอม (อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามปีการศึกษา)
A: มีทุนการศึกษาหลายประเภท เช่น ทุนเรียนดี ทุนวิจัย และทุนสำหรับนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์
A: มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าหนังสือ ค่าห้องปฏิบัติการ และค่าอุปกรณ์การเรียน
A: ประมาณ 80,000 - 100,000 บาท รวมค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
A: มีทุนเรียนดี ทุนวิจัย ทุนการช่วยเหลือด้านการเงิน และทุนสำหรับนักศึกษาที่มุ่งมั่นในสายงานแพทย์
A: ตั้งอยู่ในเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
A: ลงที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นเดินหรือต่อรถโดยสารสาธารณะมายังโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
A: สะดวกมาก มีรถโดยสารหลายสายที่ผ่าน เช่น สาย 8, 12, 18, 28, 92 เป็นต้น
A: มีที่จอดรถให้บริการภายในโรงพยาบาล แต่มีจำนวนจำกัดและต้องปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนด
A: ใช้เวลาเพียงประมาณ 5-10 นาทีหากเดินทางด้วยรถโดยสารหรือเดินเท้า
A: พักในหอพักภายในวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า (สำหรับปีต้น ๆ)
A: มีหอพักนักศึกษาในพื้นที่ของ วพม.
A: มีห้องนอนส่วนตัว สระว่ายน้ำ ห้องน้ำรวม เครื่องซักผ้า ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต
A: สามารถออกนอกพื้นที่หอพักได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของหอพัก
A: มีสวัสดิการสุขภาพ เช่น การตรวจรักษาในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
A: เริ่มจากการเข้าเรียนในช่วงเช้า ฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการหรือโรงพยาบาล และมีกิจกรรมเสริมทักษะต่าง ๆ
A: ต้องเข้าร่วมกิจกรรมทางทหาร เช่น การฝึกทักษะเบื้องต้น และการปลูกฝังระเบียบวินัย
A: มีกิจกรรมชมรมต่าง ๆ เช่น ชมรมกีฬา ชมรมดนตรี และชมรมจิตอาสา
A: มีเวลาว่างสำหรับกิจกรรมเสริม เช่น กีฬาและการพัฒนาทักษะอื่น ๆ
A: มีการสอบ 2 ครั้งใหญ่ (กลางภาคและปลายภาค) และการสอบย่อยในบางวิชา
A: แต่งเครื่องแบบนักศึกษาทหารสำหรับการเรียน และชุดแพทย์สำหรับการฝึกปฏิบัติ
A: มีบริการปรึกษาสุขภาพจิตและการสนับสนุนทางจิตวิทยาจากบุคลากรเฉพาะทาง
A: มีการจัดกิจกรรม Open House เพื่อแนะนำหลักสูตรและชีวิตในวิทยาลัย
A: สามารถขอคำปรึกษาจากอาจารย์ประจำวิชา หรืออาจารย์ที่ปรึกษาส่วนตัว
A: ไม่แนะนำให้นักศึกษาทำงานพิเศษ เนื่องจากภาระการเรียนที่หนักและต้องการเวลาในการฝึกปฏิบัติ
A: สนับสนุนการทำวิจัยผ่านการจัดสรรทุนวิจัย การให้คำปรึกษาจากอาจารย์ และการจัดอบรมด้านการทำวิจัย
A: มีโอกาสนำเสนอผลงานในเวทีวิชาการระดับนานาชาติผ่านการสนับสนุนจากวิทยาลัย
A: มีทุนสนับสนุนการทำวิจัยในระดับนักศึกษา เช่น ทุนโครงการวิจัยระยะสั้นและทุนวิจัยเฉพาะทาง
A: โครงการเกี่ยวกับการแพทย์ทหาร เช่น การพัฒนาวิธีการรักษาผู้บาดเจ็บในสนามรบและการวิจัยโรคเขตร้อน
A: มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและองค์กรวิจัยชั้นนำจากต่างประเทศในด้านการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์
A: มีการจัดทำวารสารวิชาการที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เช่น วารสารทางการแพทย์และสุขภาพ
A: มีโอกาสเข้าร่วมโครงการวิจัยในฐานะผู้ช่วยวิจัยหรือผู้ร่วมทำวิจัยในทีมอาจารย์
A: เน้นการวิจัยด้านการแพทย์ทหาร การป้องกันและรักษาโรคในเขตร้อน และการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์
A: สามารถเผยแพร่ผลงานวิจัยในวารสารและการประชุมระดับนานาชาติผ่านการสนับสนุนจากวิทยาลัย
A: มีโครงการแลกเปลี่ยนบุคลากรด้านการวิจัยกับมหาวิทยาลัยและองค์กรทั้งในประเทศและต่างประเทศ